วันอังคารที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2553

พระสีวลี (มหาสาวก)



พระสีวลี (มหาสาวก)


ภิกษุผู้เป็นเลิศในด้านสักการะ


ประวัติความเป็นมา พระสีวลี เป็นพระราชโอรสของพระนางสุปปวาสา ผู้เป็นธิดาของพระเจ้ากรุงโกลิยะ ตั้งแต่พระสีวลีได้ปฏิสนธิถือกำเนิดในครรภ์พระมารดา ได้เกิดมีลาภสักการะแก่พระมารดาเป็นอันมาก เนื่องด้วยบุญของพระสีวลี แต่อยู่ในครรภ์พระมารดาถึง ๗ปี ๗เดือน ๗วัน เนื่องด้วยกรรมที่เคยทำมาซึ่งจะกล่าวตอนท้าย(โปรดติดตาม) เมื่อเวลาที่พระนางประสูติ พระนางได้เสวยทุกขเวทนาเป็นอย่างมาก จึงขอให้ พระสวามีไปกราบบังคมทูลขอพรจากพระบรมศาสดา พระบรมศาสดาจึงประทานพรให้แก่พระนางว่า “ขอพระนางสุปปวาสา พระราชธิดาแห่งพระเจ้ากรุงโกลิยะ จงเป็นหญิงมีความสุข ปราศจากโรคาพยาธิ ประสูติพระราชโอรสผู้หาโรคมิได้เถิด” ด้วยอำนาจแห่งพระพุทธานุภาพ ทุกขเวทนาของพระนางก็อันตรธานไป พระนางประสูติพระราชโอรสอย่างง่ายดาย ดุจน้ำไหลออกจากหม้อ พระประยูรญาติทั้งหลายได้ขนานพระนามพระราชโอรสของพระนางสุปปวาสาว่า “สีวลีกุมาร” เมื่อพระนางสุปปสาวามีสุขภาพแข็งแรงดีแล้ว มีพระประสงค์ที่จะถวายมหาทานติดต่อกันเป็นเวลา ๗ วัน จึงบอกความประสงค์แก่พระสวามีให้ทราบเพื่อกราบทูลอาราธนาพระบรมศาสดาพร้อม ด้วยภิกษุสงฆ์ มารับมหาทานอาหารบิณฑบาตในพระราชนิเวสน์ ตลอดทั้ง ๗ วัน ในวันถวายมหาทานนั้น สีวลีกุมาร มีพระวรกายเข้มแข็งดุจกุมารผู้มีพระชนม์ ๗ พรรษา ได้ช่วยพระบิดาและพระมารดาจัดแจงกิจต่าง ๆ มีการนำธมกรก (ธะมะกะหรก = กระบอกกรองน้ำ) มากรองน้ำดื่ม และได้ถวายพระพุทธเจ้าและเหล่าพระภิกษุสงฆ์ ในขณะที่พระสีวลีช่วยงานพระบิดาและพระมารดาอยู่นั้น พระสารีบุตรได้สังเกตดูพระสีวลีอยู่ตลอดเวลา และเกิดความรู้สึกพอใจพระสีวลีเป็นอย่างมาก เมื่อถึงวันที่ ๗ ซึ่งเป็นวันสุดท้าย พระสารีบุตรจึงเข้าไปสนทนากับพระสีวลีและชักชวนให้บวช ส่วนพระสีวลีเป็นผู้มีจิตใจน้อมไปในทางที่จะบวชอยู่แล้วเมื่อได้ยินดังนั้น ก็ได้ไปกราบทูลขออนุญาตจากพระบิดาและพระมารดา พระบิดาและพระมารดา อนุญาต พระสีวลีจึงได้ตามพระสารีบุตรไปยังอาศรมแล้วจึงบวช


เมื่อพระสีวลีบวชแล้วพระสารีบุตรซึ่งเป็นผู้บวชให้จึงให้กรรมฐานเบื้องต้น คือ ตจปัญจกกรรมฐานทั้ง ๕ ได้แก่ เกสา(ผม) โลมา(ขน) นขา(เล็บ) ทันตา(ฟัน) ตโจ (หนัง) ให้พิจารณาของทั้ง ๕ เหล่านี้ว่าเป็นของไม่งามเป็นของสกปรก ไม่ควรเข้าไปยึดติดหลงใหลในสิ่งเหล่านี้ พระสีวลี ได้ฟังพระกรรมฐานนั้นแล้วนำไปพิจารณาในขณะที่กำลังจับมีดโกนเพื่อโกนผมครั้ง แรกนั้นท่านได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน โกนผมครั้งที่ ๒ ท่านได้บรรลุเป็นพระสกทาคามี โกนลงครั้งที่ ๓ ท่านได้บรรลุเป็นพระอนาคามี และเมื่อโกนผมเสร็จ ท่านได้บรรลุเป็นพระอรหันต์


(พระสีวลี สร้างจากผงดอกไม้บูชาพระผสมครั่งปั้น ราคา 1800 บาท)

องค์พระผ่านพิธีแล้วทุกองค์ครับ โทรถามได้ที่ 0866710373


พระพุทธองค์และหมู่ภิกษุอาศัยบุญพระสีวลี ในสมัยหนึ่งพระบรมศาสดาได้เสด็จพร้อมพระภิกษุสงฆ์ 500 รูป ไปสู่ป่าตะเคียนเพื่อเยี่ยมพระเรวตะซึ่งเป็นน้องชายพระสารีบุตร ในระหว่างทางมีทางแยกสองทาง
พระอานนท์ได้ทูลแก่พระบรมศาสดาว่า
“ทางแยกทางหนึ่งเดินอ้อมไป60 โยชน์ เป็นหมู่บ้านคนพระภิกษุจะไม่ลำบาก แต่ถ้าเดินลัดไปอีก ทางหนึ่งระยะทาง 30 โยชน์ จะเต็มไปด้วยอมนุษย์เป็นที่ลำบากแก่พระภิกษุสงฆ์”
พระบรมศาสดาได้ตรัสถามพระอานนท์ว่า
“ดูกรอานนท์ พระสีวลีมาด้วยรึเปล่า”
พระอานนท์ทูลตอบว่า
“มาด้วยพระพุทธเจ้าข้า”
พระบรมศาสดาจึงตรัสว่า
“ดูก่อนอานนท์ ถ้าอย่างนั้นก็จงไปทางลัด ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกังวลด้วยอาหาร
บิณฑบาต เพราะเทวดาทั้งหลายที่สิงสถิตอยู่ในป่าระหว่างทาง จะจัดสถานที่พักและอาหารบิณฑบาตไว้ถวายพระสีวลีผู้เป็นที่เคารพนับถือของพวก ตน เราทั้งหลายก็จะได้อาศัยบุญของ พระสีวลี นั้นด้วย”

ได้รับยกย่องในทางผู้มีลาภมาก
ด้วยอำนาจผลบุญของพระสีวลีที่ได้สั่งสมมาตั้งแต่ชาติก่อน เป็นปัจจัยส่งผลให้ท่านเจริญด้วยลาภสักการะ โดยมีเทพยดานาค ครุฑ มนุษย์ นำมาถวายอย่างไม่ขาดตกบกพร่องไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ไหนก็ตาม
ด้วยเหตุนี้พระสีวลีจึงได้รับการยกย่องจากพระบรมศาสดาว่า เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในด้านลาภสักการะ เป็นหนึ่งในมหาสาวก ซึ่งได้ช่วยแบ่งเบาภาระพระศาสดาและได้ช่วยงานพระศาสนาเป็นอย่างมาก ท่านดำรงชีพอยู่สมควรแก่กาล ก็ดับขันธปรินิพพาน

กรรมของพระสีวลี เหตุที่ต้องอยู่ในท้องแม่ถึง ๗ปี ๗เดือน ๗วัน ก็เพราะ ในอดีตชาติ ท่านได้บังเกิดเป็นกษัตริย์ ได้ยกทับไปตั้งค่ายล้อมเมืองอื่น โดยไม่ให้ประชาชนได้ออกมาจากเมืองถึง ๗ปี๗เดือน๗วันด้วยเหตุนี้เอง เมื่อผลกรรมส่งผลในชาติที่เกิดเป็นพระสีวลีจึงต้องอยู่ในครรภ์ของพระมารดา ถึง๗ปี ๗เดือน ๗วัน

วันจันทร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

~~~ พระเนื้อชิน ๒๕ ศตวรรษ ~~~



ประวัติ พระฉลอง 25 ศตวรรษ ในปีพุทธศักราช 2500 พระพุทธศาสนา ยุคกาลได้ล่วงพ้นเป็นเวลา “2,500 ปี” รัฐบาลสมัยนั้นนำโดยนายกรัฐมนตรี จอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้จัดงานฉลองทั้งภาครัฐบาลและประชาชนทั่วพระราชอาณาจักรโดยในกรุงเทพมหานคร กำหนดจัดงานเฉลิมฉลองเป็นงานใหญ่ที่ ท้องสนามหลวง เป็นเวลา 7 วัน 7 คืนเรียกว่างาน “เฉลิมฉลอง 25 พุทธศตวรรษ” ตั้งแต่วันที่ 12-18 พฤษภาคม พ.ศ. 2500 (ในช่วงเทศกาลวันวิสาขบูชา) ส่วนการเฉลิมฉลองใน ภาคประชาชน จัดให้มีการ สวดมนต์ภาวนา, รักษาศีล, ทำบุญทำทาน ทางด้าน ภาครัฐบาล จัดให้มีการ บูรณะวัดและปูชนียสถานที่สำคัญ ทางพระพุทธศาสนาพร้อม การอภัยโทษปลดปล่อยผู้ต้องหา และการ นิรโทษกรรมและล้างมลทิน แก่ผู้กระทำความผิดบางจำพวกและการจัดสถานที่อันเป็นการ อภัยทานแก่สัตว์ เพื่อปลอดจากการถูกทำลายล้างชีวิตโดยได้ทำการเผยแพร่การจัดงานไปยังนานา ประเทศ พร้อมเชิญผู้แทนรัฐบาลจากทุกประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนา และผู้แทนองค์การทางพระพุทธศาสนาในประเทศต่าง ๆ มาร่วมพิธีฉลองด้วย ผลการดำเนินงานของคณะกรรมการจัดงานที่นำโดย จอมพล ป.พิบูลสงคราม ที่สำเร็จเป็นรูปธรรมในครั้งนั้นได้แก่ 1. การจัดซื้อที่ดินสร้างพุทธมณฑล 2. การวางผังพุทธมณฑล 3. การออกแบบองค์พระพุทธรูปพระประธานพุทธมณฑล 4. รัฐพิธีก่อฤกษ์พุทธมณฑล 5. การสร้างพระเครื่องและวัตถุมงคลอื่น ๆ 6. การจัดงานฉลอง 25 พุทธศตวรรษ ระหว่าง 12-18 พฤษภาคม พ.ศ. 2500 เป็นเวลา 7วัน 7 คืน ที่อ้างอิงมาก็เพื่อนำพาผู้อ่านย้อนถึงมูลเหตุของการจัดสร้าง “พุทธมณฑล” จะได้เข้าใจอย่างชัดเจนเพราะการสร้างพุทธมณฑลมีมากมายหลายแง่มุม ซึ่งวันนี้ผู้เขียนจะกล่าวถึงเฉพาะการสร้างพระเครื่อง “ฉลอง 25 พุทธศตวรรษ” อันเป็นวัตถุมงคลที่เกี่ยวเนื่องกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จฯทรงประกอบพิธีเททองและ กดพระพิมพ์เป็นปฐมฤกษ์ ส่วนมูลเหตุในการจัดสร้างพระเครื่องฉลอง “25 พุทธศตวรรษ” สืบเนื่องมาจากค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างพุทธมณฑลที่คณะกรรมการได้ประมาณการ ไว้ “25 ล้านบาท” แต่กระทรวงการคลังจัดสรรเงินงบประมาณขั้นต้นไว้ “4,280,000 บาท” เท่านั้นซึ่งไม่เพียงพอในการก่อสร้าง คณะกรรมการจัดงานจึงลงมติให้มีการจัดสร้าง “พระเครื่องฉลอง 25พุทธศตวรรษ” พร้อม “พระพุทธรูปและวัตถุมงคลอื่น ๆ” เพื่อสมนาคุณแก่ผู้มีจิตศรัทธาบริจาคเงินสมทบในการสร้างพุทธมณฑลและเป็นที่ ระลึกในงาน “ฉลอง 25 พุทธศตวรรษ” โดยการจัดสร้างวัตถุมงคลในครั้งนี้คณะกรรมการได้กราบทูล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช เสด็จฯทรงประกอบพิธีเททองหล่อ “พระพุทธรูป” และทรงกดพิมพ์ “พระพิมพ์เนื้อดิน” เป็นปฐมฤกษ์โดยหนังสือ “พุทธมณฑลเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช” ได้บันทึกเหตุการณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯทรงประกอบพิธีหล่อพระพุทธรูปและทรงกดพิมพ์พระเป็นปฐมฤกษ์ ดังนี้ “วันที่ 11 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2500 เวลา 16 นาฬิกา 30 นาที พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ สยามินทราธิราชบรมนาถบพิตรมหาราช เสด็จพระราชดำเนินมายังวัดสุทัศน์เทพวราราม เสด็จขึ้นบนพระวิหาร ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการ บูชาพระศรีศากยะมุนี แล้วเสด็จฯไปยังพระอุโบสถ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระรัตนตรัย สมเด็จพระราชาคณะและพระราชาคณะถวายศีลจบแล้วเจริญพระพุทธมนต์ ทรงจุดเทียนมหามงคล โหรบูชาฤกษ์ เวลา 17 นาฬิกา 4 นาที 8 วินาทีถึงเวลา 17 นาฬิกา 17 นาที เสด็จพระราชดำเนินไปยังมณฑลพิธีหน้าพระอุโบสถทรงเททองหล่อ “พระพุทธรูปทองคำแบบพุทธลีลา 4 องค์” และทรงพิมพ์พระเครื่องฉลอง 25 พุทธศตวรรษชนิด “พระเนื้อดินผสมผงเกสร 30 องค์” เป็นปฐม ฤกษ์โหรลั่นฆ้องชัย เจ้าพนักงานประโคมสังข์แตรและดุริยางค์ สมเด็จพระราชาคณะและพระราชาคณะ 25 รูป เจริญชัยมงคลคาถา พระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณหลั่งน้ำสังข์ เสด็จพระราชดำเนินกลับเข้าพระอุโบสถ สมเด็จพระราชาคณะและพระราชาคณะถวายอดิเรก จบแล้วเสด็จพระราชดำเนินกลับ พระสงฆ์ 25 รูปเจริญพระพุทธมนต์จบแล้ว “พระคณาจารย์ 108 รูป” นั่งปรกปลุกเสกสรรพสิ่งของบรรจุพุทธาคมต่อตลอดคืน” จากบันทึกดังกล่าวทำให้ทราบว่าพระเครื่อง “ฉลอง 25 พุทธศตวรรษ” มีความเป็นสิริมงคลที่สำคัญยิ่งอีกรุ่นเพราะได้รับพระมหากรุณาธิคุณล้น เกล้าฯจาก พระบาทสม เด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯทรงประกอบพิธีเททองหล่อ “พระพุทธรูป” และกดพิมพ์พระเครื่อง “เนื้อดินผสมผง” (พิมพ์ปางลีลา) เป็นปฐมฤกษ์ อีกทั้งได้ทราบการพิมพ์พระเครื่องและพระพุทธรูปดังกล่าวล้วนจัดสร้างขึ้นที่ วัดสุทัศน์ฯ ดังบันทึกในหนังสือเล่มเดียวกันว่า “คณะกรรมการจัดสร้างพระเครื่องในงานฉลอง 25 พุทธศตวรรษ ได้สร้างโรงงานให้ผู้รับจ้างพิมพ์พระได้ทำงานอยู่ในบริเวณวัดสุทัศน์ เทพวราราม ด้วยประสงค์จะให้พระพุทธรูปดังกล่าวได้จัดทำอยู่ในปริมณฑลพิธี หรือในเขตพระอารามโดยตลอดและสะดวกต่อการควบคุมดูแล เพราะใช้เวลาสร้างพระเครื่อง 3 เดือนเศษ จึงแล้วเสร็จ และได้ประกอบพิธีพุทธาภิเษกอีกเป็นครั้งที่ 2” ดังนั้นวัตถุมงคล “ฉลอง 25 พุทธศตวรรษ” จึงนับเป็นวัตถุมงคลมีคุณค่าที่ถึงพร้อมด้วย พระพุทธคุณ, พระธรรมคุณ, พระสังฆคุณ และ พระมหากษัตราธิคุณ ส่วนรายพระนามและรายนามพระเกจิอาจารย์ที่มาร่วมพิธีพุทธาภิเษกขออนุญาตไม่ เอ่ยถึง เพราะมีจำนวนมากครับ  สนใจติดต่อ 086-6710373

วันอาทิตย์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2553

~~~.....พระปิดตายุคเก่า เนื้อดินขุยปูผสมผง .... หลวงพ่อหรุ่น เก้ายอด....~~~


แม้ว่าอัตโนประวัติของพระเกจิอาจารย์นาม "หลวงพ่อหรุ่น" จะไร้หลักฐานข้อมูลอันแน่ชัด เช่นเดียวกับพระเกจิอาจารย์ยุคเก่าทั้งหลาย

แต่ความน่าสนใจของหลวงพ่อหรุ่น คือฉายานาม "เก้ายอด" ที่ได้รับมาจากชื่อเสียงในด้านการสักยันต์

พลิกแฟ้มข้อมูลของหลวงพ่อหรุ่น มีระบุเพียงว่า เกิดเมื่อประมาณปี พ.ศ.2390 ที่บ้านตำบลเชียงราก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

เป็นบุตรของนายน้อย ใจอาภา และ นางคำ ใจอาภา

อุปสมบท ณ วัดลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี

กล่าวว่า ปีที่ท่านอุปสมบทนั้น เป็นปี พ.ศ.2431 มีพระญาณไตรโลก (สะอาด) อดีตเจ้าคณะจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ครั้งยังเป็นที่ "พระธรรมราชานุวัตร" เป็นพระอุปัชฌาย์

ส่วนพระกรรมวาจาจารย์ และพระอนุสาวนาจารย์นั้น เป็นที่ถกเถียงกัน บ้างก็ว่าเป็นพระวัดลำลูกกานั้นเอง บ้างก็ว่าเป็นวัดกลางนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา บ้างก็ว่าเป็นพระวัดสามไห แต่สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นวัดลำลูกกามากกว่า

ภายหลังจากอุปสมบทได้หลายพรรษาแล้ว ท่านจึงเริ่มเดินธุดงค์

ก่อนหน้านั้นนอกจากจะได้ศึกษาพระธรรมวินัยแล้ว ยังได้ร่ำเรียนด้านวิปัสสนากรรมฐานด้วย

ภายหลังได้ธุดงค์มาปักกลดในบริเวณข้างวัดอัมพวัน ถนนนครไชยศรี เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร ชาวบ้านได้เห็นถึงวัตรปฏิบัติที่เคร่งครัด และมีคาถาอาคมแก่กล้าจึงได้นิมนต์ท่านมาพำนักที่วัดอัมพวันตั้งแต่บัดนั้น

กล่าวสำหรับวัดอัมพวัน สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 ราว พ.ศ.2385 โดยพระยาราชชนะสงคราม (วัน) เป็นผู้สร้างเพื่ออุทิศแก่มารดาของท่านชื่อ "อ่ำ""จึงได้รับการขนานนามวัดว่า "วัดอ่ำวัน" ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น "วัดอัมพวัน" เพื่อให้มีความหมายดีขึ้น

วัดนี้ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อ พ.ศ.2395

หลวงพ่อหรุ่น ในช่วงที่จำพรรษายังวัดอัมพวันแล้วนั้น ชื่อเสียงของท่านโด่งดังในด้านการ "สักยันต์" ยิ่งนัก โดยเฉพาะนักเลง "ก๊กเก้ายอด" ที่ท่านสักยันต์ให้จนได้รับฉายาว่า "หลวงพ่อหรุ่น เก้ายอด"

กล่าวสำหรับด้านวัตถุมงคลของหลวงพ่อหรุ่นนั้น ไม่ว่าจะเป็น

- กระดูกห่านลงจาร ยาวประมาณ 1.5 นิ้ว

- ตะกรุดโทน ยาวประมาณ 7 นิ้ว

- แหวนเก้ายอด

- เหรียญปั๊มรูปเหมือน

- พระปิดตา

ล้วนมีชื่อเสียง เป็นที่เสาะแสวงหาของนักสะสมพระเครื่อง

นับได้ว่าเป็นพระยอดนิยมอีกอย่างหนึ่ง สำหรับนักสะสมพระเครื่องได้ขวนขวายหามาครอบครอง.

สำหรับ องค์นี้ เป็นพระปิดตายุคเก่า เนื้อดินขุยปูผสมผง สร้างเมื่อราวก่อนพ.ศ.2450(ท่านมรณภาพ2453) พุทธคุณทางเมตตา โชคลาภ โภคทรัพย์เป็นที่ประจักษ์มาช้านา นักเลงเก่าฟากพระนครรู้จักกันดี สนใจติดต่อสอบถามได้ที่ 086-6710373

~~~ พระพิมพ์พุทธโคดม หลวงพ่อขอม ปี2505 ~~~


หลวง พ่อขอมเป็นพระเกจิอาจารย์เรืองนามอีกรูปหนึ่งของจ.สุพรรณบุรี สมัยนั้นมีงานปลุกเสกที่ไหนต้องมีชื่อหลวงพ่อขอมที่นั่น ถ้าหากได้ศึกษาประวัติและปฏิปทาลึกๆของท่านจะทราบดีว่าหลวงพ่อขอมท่าน ปรารถนาพุทธภูมิเช่นกัน วัตถุมงคลที่ท่านสร้างมีหลายเนื้อหา แต่ที่สร้างในยุคต้น ๆและเป็นที่นิยมก็คือเนื้อดินครับ พระรุ่นนี้หลวงพ่อขอมจัดสร้างปี 2505 ซึ่งเป็นปีที่หลวงพ่อขอมจัดสร้างพระเครื่องครั้งยิ่งใหญ่ เจตนาการสร้างเพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา วัตถุมงคลที่ท่านอฐิษฐานจิตปลุกเสกนั้นมีพุทธคุณสูงและโดดเด่นทางด้าน คงกระพันชาตรี แคล้วคลาดกันภัย โชคลาภค้าขาย และเมตตามหานิยมครับ สนใจติดต่อสอบถามได้ที่ 086-6710373

~~~.....ตรีกาย ลพ.แดงวัดทุ่งคอก.....~

~~~.....ตรีกาย ลพ.แดงวัดทุ่งคอก.....~~~

หลวงพ่อแดงวัดทุ่งคอก เป็นพระคณาจารย์ที่มีพุทธาคมสูงองค์หนึ่งของจังหวัดสุพรรณ และยังเป็นศิษย์เอกของหลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดันด้วย พระตรีกาย ( พิมพิ์พระสาม ) องค์นี้เป็นพิมพิ์ใหญ่ครับพระพอสวยมีหน้าตาชัดตามรูป สนใจโทรสอบถามได้ที่ 086-6710373

~~~.....รูปเหมือน หลวงพ่อครูบาจำปา.....~~







รูปเหมือน หลวงพ่อครูบาจำปา สีลวนโต วัดสะอาดชัยศรี(แม่ข้อน) จ.เชียงใหม่ ฐานกว้าง 5 นิ้ว สนใจโทรสอบถามได้ที่ 086-6710373

วันเสาร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2553

๙๙๙~~~.....คดเขาเก้ง....แบบเก้ากุ่ม หรือ เก้ายอด.....~~~~ ๙๙๙

คด เขาเก้ง เป็นเครื่องรางอย่างหนึ่งในตระกูลเครื่องรางทนสิทธิ์ของทางเหนือ ซึ่งทางเหนือจะเรียกเก้งว่าฟาน ซึ่งคดเขาเก้งนั้นมักเกิดกับตัวที่เป็นจ่าฝูงแต่ไม่ใช่ทุกฝูงนะครับ อนุภาพดีทางมหาอำนาจ และแคล้วคลาดคงกระพัน ดุจพญากวางที่เป็นใหญ่ครับ แต่ของแบบนี้ หายากยังไม่พอ  ที่จะเกิดคตแบบ เก้ายอดนั้นยากมากๆแทบไม่ต้องหากันละครับ ชอบลองโทรมาสอบถามได้ครับ อาจหายากกว่า พระรอดมหาวันด้วยซ้ำ...........086-6710373

๙๙๙....พระร่วงวัดพระสิงห์ ปี ๒๕๑๒...๙๙๙

ขยับขึ้นทุกวันวันกับพระร่วงวัดพระสิงห์ซึ่งหาได้ยาก อีกซ้ำพิธีใหญ่ไม่มีของเสริม

ปล...อย่าเอาไปเทียบกับพระร่วงวัดดอยสุเทพนะครับ ยังห่างไกลกันเยอะ... หนำซ้ำช่วงนี้ ประสบการณ์ เยอะมาก
อีกทั้งหายากทำให้ราคาขยับไปเรื่อยๆครับ


พระร่วงรางปืนวัดพระสิงห์ พ.ศ.๒๕๑๒ พระร่วงรางปืน วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร จังหวัดเชียงใหม่ สร้างเมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม พ.ศ. ๒๕๑๒ มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในภาคเหนือ ของที่สร้างขึ้นทุกอย่าง โดยมีเจตนาต้องการมอบให้ทหาร ตำรวจที่ช่วยปฏิบัติราชการชายแดน และนำบรรจุไว้ในสถูป เจดีย์ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชด้วย

เหตุใดของที่สร้างขึ้นจึงอยู่ในความนิยมอย่างสูงของประชาชน และหมดลงในอย่างรวดเร็ว มีมูลมาจากเหตุหลายประการ

- ประการแรก พิธีสร้างได้สร้างขึ้นอย่างถูกวิธีประกอบทั้งเจ้าพิธีคือ พระอาจารย์ไสว สุมะโน แห่งวัดราชนัดดารามวรวิหารเป็นผู้มีชื่อเสียงทางการสร้างพระมาก่อน ได้ทุ่มเทพลังงานทั้งหมดมาแต่ต้น

- ประการที่ ๒ พระเกจิอาจารย์ที่มาปลุกเสก ต่างก็มีชื่อเสียงมาก่อนทั้งด้านเมตตามหานิยม อาคมคงกะพันชาตรี

- ประการที่ ๓ ร่างปาฎิหารย์ระหว่างพิธีบวงสรวงสังเวยพระวิญญาณฯ ที่จังหวัดพิษณุโลก

- ประการที่ ๔ ปรากฎว่ามีผู้นำพระร่วงรางปืนไปทดลองในด้านคงกะพันชาตรี ยิงไม่ออก ยิงออกแต่ก็ไม่ถูก

มีผู้คนต่างแตกตื่นแห่กันมาขอเช่า จนโต๊ะ เก้าอี้จำหน่ายพังไปหลายตัว ตอนหลังเจ้าหน้าที่ ต้องแก้ด้วยวิธีปิดห้องประชุมให้ผู้เช่าเข้าคิวเช่าตามช่องรั้วลูกกรงเหล็ก ถึง ๕ โต๊ะ(๕ ช่อง) ถึงกระนั้นก็ต้องยืนรอคิวกันทั้งวัน

- ประการสุดท้าย ที่สำคัญที่สุดก็คือ องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ มาทรงเททองวันประกอบพิธีพุทธาภิเษกด้วยพระองค์เอง

พุทธคุณดีครบทุกด้านโชคลาภ ค้าขาย เมตตามหานิยมมหาอุต เหนียว และเพิ่มบารมีในการปกครองดูแลลูกน้องและครอบครับเพราะมีคณาจารย์มาร่วมปลุก เสกนับร้อยที่มีชื่อเสียงยุคนั้นมากมายในยุคนั้น
รายนามพระเกจิอาจารย์ ที่ร่วมในพิธีพุทธาษิเษก

1. หลวงพ่อคล้าย วัดจันดี นครศรีธรรมราช

2. พระเทพวิสุทธิเมธี(เจีย) วัดพระเชตุพน กทม.

3. พระครูวิริยะกิติ(โต๊ะ) วัดประดู่ฉิมพลี กทม.

4. พระครูโสภณกัลยาณมิตร(เส่ง) วัดกัลยานิมิตร กทม.

5. พระครูปลัดสงัดคณิสสโร วัดพระเชตุพน กทม.

6. หลวงพ่อก๊ก วัดดอนขมิ้น กาญจนบุรี

7. หลวงพ่ออั้น วัดพระญาติการาม อยุธยา

8. หลวงพ่อแจ่ม วัดวังแดงเหนือ อยุธยา

9. หลวงพ่อนอ วัดท่าเรือ อยุธยา

10. หลวงพ่อเทียม วัดกษัตรา อยุธยา

11. พระครูพิพัฒน์สิริธร(หลวงพ่อคง) วัดบ้านสวน พัทลุง

12. พระอาจารย์ชินะวโรภิกขุ(หลวงพ่อนำ) วัดดอนศาลา พัทลุง

13. หลวงพ่อเล็ก วัดดินแดง นครปฐม

14. หลวงพ่อพริ้ง วัดโบสถ์ ลพบุรี

15. หลวงพ่อชื่น วัดตำหนักเหนือ นนทบุรี

16. พระครูวิสัยโสภณ(หลวงพ่อทิม) วัดช้างไห้ ปัตตานี นอกจากท่านจะมาร่วมพิธีพุทธาภิเษกครั้งนี้แล้ว

ยังได้มอบพระหลวงปู่ทวดเนื้อว่านที่สร้างไว้ตั้งแต่ปี 2506 มอบให้แก่ทางวัดพระสิงห์วรมหาวิหาร เพื่อมร่วมทำบุญกุศลอีกด้วย

17. หลวงพ่อแดง วัดบางเกาะเทพศักดิ์ สมุทรสงคราม

18. หลวงพ่อจ้วน วัดเขาลูกช้าง เพชรบุรี

19. หลวงพ่อเตียง วัดเขารูปช้าง พิจิตร

20. หลวงพ่อจ้อน วัดเจ็ดริ้ว สมุทรสาคร

21. พระวิบูลย์เมธาจารย์ วัดดอนเจดีย์ สุพรรณบุรี

22. พระอาจารย์สมคิด วัดรังโฆษิตาราม สุพรรณบุรี

23. พระราชมุนี วัดปทุมวนาราม กทม.

24. พระอริยเมธี วัดปทุมวนาราม กทม.

25. พระครูพุทธิวัฒน์ วัดธรรมจักร พิษณุโลก

26. พระครูอภัยจริยานิยม(ตุ้ย) วัดใหม่ พิษณุโลก

27. ครูบาวัง วัดบ้านเด่น ตาก

28. พระราชวิสุทธิ วัดสวนดอก ลำปาง

29. พระอาจารย์สม วัดหัวข่วง ลำปาง

30. พระอาจารย์ชุม วัดเกาะ ลำปาง

31. หลวงพ่อเมือง วัดท่าแหน ลำปาง

32. พระราชปัญญาโสภณ วัดราชนัดดาราม กทม.

33. พระครูพิพัฒน์วิหารกิจ วัดราชนัดดาราม กทม.

34. หลวงพ่อเปี่ยม วัดเทพธิดา กทม.

35. พระพิธีธรรม 4 รูป วัดราชนัดดา กทม.

36. พระพิธีธรรมรามัญ 4 รูป วัดตำหนักเหนือ นนทบุรี

37. พระพิธีธรรม ภาคพายัพ สำนักจังหวัดเชียงใหม่ เชียงใหม่

สำหรับพิธีพุทธาภิเษกพระกริ่ง-พระชัยวัฒน์นเรศวรเมืองงาย พระร่วงยืนหลังรางปืนฯลฯ ครั้งนี้

เจ้าพิธีในการประกอบพิธีพุทธาภิเษกได้แก่พระอาจารย์ไสว สุมโน วัดราชนัดดารามวรวิหาร กทม.

ซึ่งท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญในการสร้างพระกริ่งมาหลายรุ่น ครั้งสุดท้ายได้สร้างพระกริ่งนเรศวรวังจันทร์

ร่วมกับ พล.ต.ต.ยรรยง สท้านไตรภพ รองจเรตำรวจ ให้แก่สมาคมศิษย์เก่าพิษณุโลกพิทยาคม จ.พิษณุโลก

เมื่อวันที่ 3 ก.พ.2511 ซึ่งได้รับความนิยมจากผู้ที่นิยมพระเครื่องทั่วไปอย่างสูง ไม่เพียงพอแก่ความต้องการทุกครั้ง

ปรากฏการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดถึงว่าจะเกิดขึ้น เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อตอนเย็นของวันที่ 14 มกราคม 2513 เวลา 18.00 น.

ก่อนที่จะเริ่มพิธีในตอนกลางคืนนั้น หลวงพ่ออั้น แห่งวัดพระญาติการาม จ.พระนครศรีอยุธยา

เกิดเป็นลมโดยปัจจุบันทันด่วนในขณะที่พักผ่อนอยู่ในศาลาสมเด็จ

ภายในบริเวณวัดพระสิงห์ด้านเหนือต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลนครเชียงใหม่ ครั้นเวลา 19.00 น. ก็ถึงแก่มรณภาพ สนใจโทรถามได้ที่เบอร์ 086-6710373

~~~ ๙๙๙....พระกริ่งพุทธกวัก...หลวงพ่อแฉ่ง วัดบางพัง.....๙๙๙ ~~~


หลวง พ่อแฉ่งท่านมีชื่อเสียงโด่งดังมาก มีอาคมขลัง มีพลังทางจิตแก่กล้า เป็นพระปฏิบัติเชี่ยวชาญทางวิปัสสนากรรมฐานในช่วงยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นผู้คงแก่เรียน เป็นศิษย์หลายสายหลายสำนักด้วยกัน และเป็นศิษย์ในหลวงพ่อปานวัดบางนมโค จ.อยุธยาด้วย (ได้รับอิทธิพลพระพิมพ์ทรงสัตว์จากหลวงพ่อปาน) ด้วยเหตุที่กล่าวมานี้จึงทำให้วัดบางพังในอดีตคึกคัก มีผู้คนเดินทางมาจากถิ่นใกล้และไกล มาฝากตัวเป็นศิษย์เรียนวิชากับหลวงพ่อแฉ่งเป็นอันมาก บางคนก็มาขอวัตถุมงคล บางคนก็มารักษาโรค บางคนก็มาปรึกษาความและเรื่องราวร้อยแปด เพราะเขาเหล่านั้นเห็นว่าหลวงพ่อท่านช่วยได้ ผู้ที่ไปขอเรียนคาถาอาคม หลวงพ่อท่านจะให้ฝึกจิตบังคับใจเรื่องสมถวิปัสนากรรมฐานก่อน เมื่อเห็นว่าพอจะใช้ได้ไปไหว จึงจะให้นิสัยธรรมข้อหนึ่งที่หลวงพ่อมักจะอบรมสั่งสอน (เข้าใจว่าคุณธรรม) หลังจากนั้นจึงจะบอกตัวคาถาและเคล็ดวิชาต่าง ๆ ให้ การเรียนวิชาอาคมจากหลวงพ่อนั้น ท่านมิใช่แต่เพียงให้ศิษย์เรียนผูกเท่านั้น ท่ายังให้ศิษย์เรียนแก้ด้วย ครบถ้วนกระบวนการ คือ เพื่อป้องกันแก้ไขคนที่มีทุกข์ถูกของถูกคุณให้พ้นภัย เป็นต้น สนใจโทรสอบถามได้ที่ 086-6710373

..๏@(^o^)@๏..พระบูชา 25 พุทธศตวรรษ ..๏@(^o^)@๏..



.........พระบูชา 25 พุทธศตวรรษ พิมพ์พระแก้วมรกตเนื้อแก้วสีเขียวใส จีวรดอก หน้าตัก 5.5 นิ้ว ฐานกว้าง 7.7 นิ้ว ความสูง 11 นิ้ว จัดสร้างในพิธี 25 พุทธศตวรรษ ที่ยิ่งใหญ่มีพระคณาจารย์ที่สำคัญของยุคกึ่งพุทธกาล เข้าร่วมพุทธาภิเษกถึง 108 องค์ เนื้อแก้วใส สภาพสวยมาก พระแก้วมรกตองค์นี้สร้างขึ้นพิเศษ โดยสำนักพุทธเทวประทีป เนื้อแก้วมีความหนา 1ซ.ม.องค์นี้ ชอบใจลองให้ราคาโทรมากันได้ครับกันมาได้นะครับ ที่ 086-6710373 เหน่ง